หนังสือธรรมะสองเล่ม รีดเดอร์ฯเล่มใหม่

แบบว่าอยากเขียนหลายวันแล้ว หนังสือธรรมะอ่ะ หลายเดือนแล้ว พอดีไม่ค่อยว่างมาเขียน จริง ๆ คือ จำพาสเวิร์ดที่นี่ไม่ได้ก๊าก… ล้อเล่น (ตกลงยังไงแน่ – ไม่รู้เหมือนกัน ขี้เกียจ ๆ แต่อยากเก็บและบอกต่อ เลยต้องมาเขียน)

อ่ะ แปะภาพก่อนแล้วกัน

ไฟล์ปกสีฟ้า
หน้าที่ของคน อันนี้ เนื้อหาแนว ประมาณเล่มต่าง ๆ เหล่านั้นเลย ที่เรามี 14 เล่มอ่ะ
แต่ในหนึ่งเล่มนี้ จะมีหน้าที่ของ คน, พ่อแม่, ลูก, ครูบาอาจารย์, ศิษย์, เพื่อน, สามี, ภรรยา, ข้าราชการพลเรือน, ตำรวจ, ทหาร, พ่อค้าแม่ค้า, ผู้ใหญ่ ผู้บังคับบัญชา, ผู้น้อย, คนดี (คฤหัสถ์-ผู้ครองเรือน)
ไปหามาอ่านเถอะ
อยากให้ลองอ่านดู อ่านทุกหน้าที่เลยแหละ ไม่เยอะหรอก เราอ่านสองชม.จบ (ขนาดอ่านไปหลับไป) แต่ได้อะไรมาเยอะนะ จะหาว่าพูดเล่น (พูดจริง)
………………………………..
ไฟล์ปกสีชมพู
อยู่กันด้วยความรัก
อย่าคิดว่าเล่มสีชมพู จะต้องสำหรับคนจะแต่งงาน คนอินเลิฟหวานแหวว กิ้วก๊าว!? ?! ในเล่มนี้พูดถึงความรักแบบกว้างใหญ่ รักแบบทั่วไป รักบริสุทธิ์ยุติธรรม รักอ่ะ รักทุกอย่างคนสัตว์สิ่งของงานฯลฯ ลองไปอ่านดู แล้วจะรู้ว่าความรักไม่ได้มีแค่ ฉันและเธอ
มีเรื่องหนึ่งอยากยกมาเล่า คือ เรื่องรักครอบครัว หน้า ๒๖ ย่อหน้าสุดท้าย บอกว่า

เราก็รีบกลับบ้านเพราะมีพันธะทางครอบครัว มีคนคอยอยู่ที่บ้าน เราควรจะไปหาเขา ไปอยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกัน กินข้าวพร้อมกัน นั่งดูโทรทัศน์ด้วยกัน พร้อมกับลูกเมีย เมื่อดูก็อธิบายให้ลูกฟังว่า อันนั้นเป็นเรื่องดี อันนั้นเป็นเรื่องชั่ว อันนั้นเป็นเรื่องบาป อันนั้นเป็นเรื่องบุญ ให้ลูกได้รู้ ได้เข้าใจ สอนแนวทางชีวิตให้ลูกด้วยในตัว แล้วก็ดูให้ลูกอ่านหนังสือทำการบ้าน เราช่วยกันคิดช่วยกันสอนให้แก่เขา

คนเรา ถ้าไม่สอน ใครมันจะไปรู้ (ที่สำคัญ อย่าสอนผิด ๆ) กร๊าก เหมารวมว่าหมายถึงทุกคนในโลกเลยนะที่รู้มากกว่าเขา (ตามตำแหน่งหน้าที่) เช่น คนเป็น ครู หรือ หัวหน้า หรือ เจ้านาย ฯลฯ แต่เริ่มต้นของทุกสิ่ง มันคงต้องมาจากครอบครัวก่อนอ่ะ คุณพ่อคุณแม่ที่อ่านบล็อกนี้ ลองไปทำตามที่กล่าวไว้ในหนังสือนี้ดูนะคะ (ป๋าแม่ของเราก็ทำนะ ตอนเราเด็ก ๆ อ่ะ แต่เบื่อตรงที่ ชอบเปิดละครเรื่องที่เราไม่ชอบดูเลย – ก็เราไม่ชอบดูละครสักเรื่อง แล้วจะชอบไหมเนี่ย – บางทีสมัยก่อน เราอาจจะเคยชอบดูละครก็ได้นะ แต่พอมันเริ่มมีพลอตเรื่องซ้ำ ๆ เราก็รู้สึกเบื่อหน่าย เพียงแต่เราไม่ได้เบื่อหน่ายพ่อแม่เรา เบื่อแค่ละคร เราก็เลยทนดูต่อไป ถึงแม้เราดูไปบ่นไปก็ตาม ก๊าก…)

แต่ต้องสอน ย้ำว่าต้องสอนจริง ๆ อย่าทำัตัวเป็นคนว่านอนสอนยาก เพียงแต่อย่าเชื่อทุกอย่างโดยไม่คิด (เราเป็นคนว่านอนสอนง่าย สอนได้ แต่ไม่เชื่อ ก๊าก… ต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่ออ่ะ อะไรทำนองนี้ – สอนได้ ใครจะด่า จะสั่งจะสอน เชิญ รับฟังได้หมด เราถือว่า สอนก็ยังดีกว่าไม่สอน แล้วก็พูดว่า “เรื่องแค่นี้ ทำไมถึงไม่รู้” กร๊าก…)
………………………………..
ภาพแรก (ขออภัย สแกนกระดาษที่เราจดมาด้วย เพราะเราจะให้เห็นว่าเราจะเล่าเรื่องอะไรบ้าง – แต่จะเล่าเกินด้วยก๊าก…)

สรรสาระ (รีดเดอร์สไดเจสต์) เล่มล่าสุด เดือน เม.ย. พรุ่งนี้วันเอพริลฟูล เราจะไม่ออนไม่มาเล่นเน็ต (ไม่ได้โกหก) เพราะเราเบื่อหน่ายการโกหก ในวันเอพริลฟูล นี่ไม่ใช่ประเพณีบ้านเราเมืองเรา จำได้ ปีที่แล้วเชื่อซะสนิท โดนบล็อกเกอร์หลายคนต้มซะเปื่อย มุกปิดบล็อกอ่ะ เลิกเหอะ อุบาทว์ว่ะ (ฝากด่าไปยังปีที่แล้ว ก๊าก…)

รีดเดอร์สไดเจสต์เล่มนี้ มีเด่น ๆ หลายเรื่อง
แต่ขอยกมาแค่ไม่กี่เรื่อง เช่นเดิม ขี้เกียจพิมพ์ และอยากอ่านก็ซื้อเองเหอะ เดี๋ยวหนังสือเขาจะมาฟ้องเรา (อย่าฟ้อง ๆ)
หน้า ๙ ทั่วทิศ มีเรื่องเด็กไทยรักการอ่าน
เรื่องนี้เราทราบจากทีวีแล้ว เราดีใจมาก ที่เลิกสักที สถิติแบบ “อ่านปีละ ๘ บรรทัดอ่ะ” ดีใจ กราบขอบพระคุณ
ตอนนี้เป็นเวลาต่อวันแทน คือ ๓๙ นาทีต่อวัน
ไปหาอ่านเอง มีไม่เยอะหรอก นิดเดียว
– ในความคิดเรา เราคิดว่า หากคนเราพอมีเวลาอยู่กับตัวเองมากกว่านี้ (ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะมีกันหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าต้องทำงาน ก็คือต้องอยู่กับคน กับแฟน กับหมา กับแมว กับคอม ฯลฯ ไม่มีเวลาเหลือสำหรับใช้อ่านหนังสือหรอก) และมีหนังสือดี ๆ มาแจก (บางทีมีเวลานะ แต่ไม่มีตังค์ซื้อหนังสือ) ก็คงจะอ่านกันมากกว่านี้ เรายังนึกถึงเรื่องแบบนี้ ส่วนงานหนังสือไม่ไปแน่นอน ไปไม่ไหว ไม่สะดวก

เราชอบท้ายหน้า ๘๔ มาก ๆ เป็นข้อความสั้น ๆ ที่เขียวว่า
“ผมไม่ได้เขียนเรื่องขึ้นมาสำหรับนักวิจารณ์วรรณกรรม พวกนี้ได้หนังสืออ่านโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ
MITCH ALBOM”

– ทำให้เราต้องมาตามหาเลย ว่าเขาคือ ???

หน้า ๑๐๘ – ๑๑๒ จัดการความกลัวให้อยู่หมัด
ชอบมาก เป็นวิธีจัดการกับความกลัว

– เป็นวิธี (และวิธีการบอกเล่า) ที่เราชอบมาก กรี๊ด ๆ
การเอาเรื่องของตัวเองมาบอกเล่า มายกเป็นตัวอย่าง ทำให้เห็นภาพ และเข้าใจได้ดีกว่า การตีแผ่ทฤษฎีล้านแปด ที่บางที คนระดับหาเช้ากินค่ำอย่างเรา ๆ ก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ เราคิดว่าเรื่องลักษณะนี้ และการสรุปออกมาเป็นเนื้อหาขนาดนี้ จะเป็นประโยชน์กับคนอีกมากมาย อย่างน้อยก็กับเราคนนึง

ท้ายหน้า ๑๑๒
“ฤดูร้อนจัดคือเวลาที่ความขี้เกียจเป็นที่ยอมรับในสังคม
SAM KEEN”

-ชอบ ๆ ร้อนต้องขี้เกียจ ร้อนต้องเอาแต่นอน เป็นกันทุกคน หรือใครไม่เป็น? ยกมือหน่อย ก๊าก… ปีนี้จะำพยายามไม่เป็น เพราะเป็นมาทุกฤดูแล้ว หนาวก็นอนขี้เกียจ ฝนก็นอนขี้เกียจ ร้อนก็ยังนอนขี้เกียจ

หน้า ๑๑๔ – ๑๑๙ เมื่อทั่วโลกหลับไหล
เล่าถึงมุมมองของการนอน จากทั่วโลก แล้วคุณจะเข้าใจคนเก่ง ๆ (ที่คุณเคยเห็นว่าเขาเก่งมาตลอด) บางทีแค่แอบงีบ ไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายเสมอไป มันแล้วแต่คน ขึ้นอยู่กับธรรมเนียมใครทำเนียมมัน

– แต่เราคนนึงที่เป็นแบบนี้ ถ้าเราได้หลับนิดนึงก็ยังดี ตื่นมาจะคิดอะไรออกอีกเยอะ
– เราคิดว่าการงีบไม่ใช่อาชญากรรม คนแอบงีบไม่ควรถูกลงโทษหรือพิพากษาอย่างไม่เป็นธรรมนัก (ถ้าไม่เคยมีคุณงามความดีเลย ถึงค่อยมาว่ากันอีกที)
– เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราชอบมาก ตอนเริ่มอ่านไม่ง่วงเลย พออ่านไปได้สองหน้า หลับครอก ๆ (อิทธิพลจากเรื่องที่อ่านหรือเปล่าเนี่ย) หลับคาโต๊ะกินข้าวที่ซุเปอร์สโตร์ย่านบางแก้ว แต่แล้วก็ต้องตื่น เพราะได้ยินแม่พูดลอย ๆ ว่า ทำไมทีวีโฆษณาของห้างมันดังขึ้นขนาดนี้ เราจึงตั้งสติแล้วฟัง อืมมันดังจนลำโพงทีวีแทบแตก (ซ่า ๆ) เราเลยลุกกันไปเลย (เราว่าห้างคงมีมาตรการจัดการกับคนที่มาฟุบหลับบนโต๊ะ ด้วยการใช้เสียงไล่ เราตั้งใจว่า เราจะไปห้างประเภทนี้ให้น้อยลงแล้วแหละ เพราะหาความสงบไม่ได้เลยจริง ๆ น่าแปลกใจที่สมัยก่อนเราแต่งเพลงในห้างเสมอ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เสียงโฆษณาภายในห้างน่าจะดังกว่าเสียงการจราจรบนถนนสุขุมวิทหลายเลย อย่าเผลอแม้แต่จะไปทำท่านอนเชียวนะ หนวกหูจนขนลุก)

หน้า ๑๒๕ – ๑๒๗ อาหารก็มีหัวใจ
ยิ่งเราเข้าใจความรู้สึกของสัตว์เลี้ยงแสนรักมากเท่าไร เรายิ่งเมินเฉยต่อสัตว์ที่เรากินมากขึ้นเท่านั้น (ตัด ๆ มา โดนใจอย่างแรง)

– เราบอกตรง ๆ เราอ่านเรื่องนี้แล้วอนาถใจ ไปหาอ่านเอา
แต่จริง ๆ เราเคยเขียนบทความตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม (ขออภัยไม่มีให้อ่าน) ด่าคนที่รักแต่หมาแพง ๆ พวกเพ็ดดีกรีเต็มใบ แต่รังเกียจหมาธรรมดา หมาพันธุ์ทาง เรารู้สึกว่าตกลง eพวกนั้น มันรักและเมตตาสัตว์จริง ๆ หรือมันแค่จะอวดตัวว่ามันรวย
แต่เรื่องนี้ไม่ได้ไปที่รวยไม่รวย กลายเป็นว่า รักสัตว์ที่ไม่กิน แต่ไม่รักสัตว์ที่กิน
สำหรับเรา (เล่าแล้วจะหาว่ากระแดะ – ก็ตามใจ) เรารักสัตว์หมดแหละ รักจนมีอยู่ช่วงไม่อยากจะกินเลย (กลัวชาติหน้าโดนกิน) จนเราได้อ่านนี่ จะช่วยโลกไม่จำเป็นต้องกินมังสวิรัส เราถึงคิดอีกอย่างได้
เราว่าคนเราควรมีเมตตากับทุกอย่างอ่ะ อย่าเลือกปฏิบัติจนทุเรศ หลายครั้งเราอดโมโหไม่ได้ เวลาเห็นคนซื้อเสื้อผ้าให้หมาใส่ (หมาเคยบอกไหม ว่าอยากได้) เวลาเห็นจับหมาแต่งงานรดน้ำสังข์ (หมาบอกเหรอ ว่าชอบให้ทำแบบนี้) เงินที่ใช้กับเรื่อง “งี่เง่าและผิดธรรมชาติ” แบบนี้ มันมีค่าน้อยไป หรือเป็นเศษเงินขนาดนั้นเชียวเหรอ แต่สำหรับคนจน ๆ บางคน มันคงมีค่ามากมายมหาศาล เขาสามารถมีกินได้อีกหลายวันหลายเดือนหรืออาจจะหลายปี (บางงานที่จัดเวอร์มาก ๆ)

ลึก ๆ มันมีเรื่องของการโฆษณา (ทั้งโต้ง ๆ และแฝง) เขาถึงทำเรื่องประหลาด ๆ ให้กลายเป็นข่าว จะได้ดัง จะได้มีคนมาซื้อของ มารับบริการ ซึ่งคนทั่วไป ๆ ที่อาจจะรักสัตว์เลี้ยงจนเกินพอดีไปหน่อย (ถือว่ารวย) ควรจะคิดด้วย (ประมาณว่าเป็นผู้บริโภค ก็ควรรู้ให้เท่าทันผู้ประกอบการ เพราะบางอย่างมันก็ทุเรศเกินจริง ๆ และคุณก็กำลังเสียเงินไปกับเรื่องทุเรศ ๆ จริง ๆ “หมาเหมอมันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก มีแต่คนเท่านั้น ที่ไปรู้สึกอยากแทนมัน”)
ถ้าเมื่อไรหมาคุณมันบอกกับคุณว่า “อยากได้” “อยากเป็น” “อยากทำ” ค่อยว่ากันอีกที

จงอ่านเพื่อทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ในโลก และเข้าใจมันอย่างถูกต้อง
โชคดีนะคะ